จากกรณีชาย อายุ 64 ปี ชาว จ.ชุมพร ได้หายออกไปจากบ้านตั้งแต่วันที่ 14 มิ.ย. ที่ผ่านมา ภรรยาและญาติๆ ได้ออกตามหาตลอดทั้งวัน ทุกพื้นที่ที่คิดว่าสามีเคยไปอยู่เป็นประจำ เช่น โบราณสถานสำนักสงฆ์ถ้ำเขาปีบ อ.ทุ่งตะโก ซึ่งมีพระจำพรรษาอยู่ 2 รูป ซึ่งเป็นพ่อลูกกันคือ พระพ่อ อายุ 66 ปี และพระลูก อายุ 42 ปี ทั้งคู่อ้างว่าไม่พบชายคนดังกล่าวที่สำนักสงฆ์แต่อย่างใด
กระทั่งเช้าวันที่ 15 มิ.ย. ได้มีชาวบ้านพบชายผู้สูญหาย กลายเป็นศพอยู่ในสระน้ำหน้าสวนปาล์มของชาวบ้าน เยื้องกับสำนักสงฆ์เพียง 200 เมตร สภาพศพถูกแทงด้วยของแข็งบริเวณใบหน้าและบนศีรษะหลายแผลนั้น
ความคืบหน้ากรณีดังกล่าว ตำรวจ สภ.ทุ่งตะโก ได้ลงพื้นที่สำนักสงฆ์ถ้ำเขาปีบ เพื่อสอบปากคำพระทั้ง 2 รูป พร้อมนำภาพจากกล้องวงจรปิดมาเปรียบเทียบ เนื่องจากการสอบปากคำพระสองพ่อลูกอ้างว่า ทุกเช้าจะออกเดินบิณฑบาตตั้งแต่เวลา 05.30 น. และจะกลับในเวลาประมาณ 08.30 น. พระผู้เป็นพ่อเดินหน้า และมีพระลูกชายเดินตามหลัง เป็นประจำทุกวัน
แต่ในขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่พบว่า ในวันเกิดเหตุช่วงเช้า พระพ่อเดินนำหน้าจริง โดยมีพระลูกชายเดินตามหลังห่างกันเพียง 4 นาที แต่ปรากฏว่าขากลับ พระลูกชายได้เดินกลับเพียงลำพัง พระพ่อเดินตามมาห่างกันนับชั่วโมง แต่ทั้งคู่ยังยืนยันว่าเดินห่างกันแค่เล็กน้อย
เจ้าหน้าที่จึงได้นิมนต์เฉพาะพระลูกชายมาสอบปากคำอีกครั้งที่ สภ.ทุ่งตะโก เพื่อเค้นหาข้อเท็จจริงว่าในช่วงวันเวลาดังกล่าวไปไหน ทำอะไรบ้าง เพราะเป็นช่วงเวลาที่ผู้เสียชีวิตหายตัวไป ประกอบกับพบว่าบริเวณไหล่ขวามีร่องรอยขีดข่วนแนวยาว ซึ่งขัดกับคำให้การที่บอกว่ายุงกัด
เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้เวลากว่า 2 ชั่วโมง จนในที่สุดพระยอมเปิดปากว่า หลังกลับจากบิณฑบาตมาที่สำนักสงฆ์ ก็พบว่าผู้เสียชีวิตมานั่งรอที่จะเอาอาหารจากตน ทั้งที่ตนเพิ่งมาถึงและยังไม่ได้ฉันอาหารเลย ผู้เสียชีวิตจะมาดักขออาหารจากตนทุกวัน ถ้าให้ไปน้อยก็จะต่อว่า บางวันก็จะเอาอาหารไปเกือบหมด ในวันเกิดเหตุเกิดการทะเลาะกันอย่างรุนแรงจนถึงขั้นลงไม้ลงมือกัน และตนก็ใช้ช้อนสั้นเป็นอาวุธแทงผู้เสียชีวิตจนล้มลง แต่ก็ยังลุกขึ้นมาได้ แล้วก็ไม่ได้ทำร้ายอะไรกันอีก จากนั้นผู้เสียชีวิตก็เดินไปที่สระน้ำที่อยู่เยื้องกับสำนักสงฆ์ เห็นก้มลงกวักน้ำล้างหน้า ตนก็ไม่ได้สนใจ อาจจะหน้ามืดตกลงไปจมน้ำเอง
หลังรับสารภาพ เจ้าหน้าที่ไม่ปักใจเชื่อคำให้การมากนัก จึงได้นำตัวพระไปทำการสึกและควบคุมตัวส่งพนักงานสอบสวน แจ้งข้อกล่าวหาฐานฆ่าคนตาย ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
ด้านพระผู้เป็นพ่อ กล่าวว่า พระลูกชายสุขภาพไม่ดี เคยผ่าสมองตั้งแต่ยังเด็กเพราะอุบัติเหตุ และตนไม่รู้เลยว่าพระลูกชายจะมาก่อเหตุดังกล่าวได้ หากวันนั้นตนกลับมาถึงสำนักสงฆ์พร้อมกันเรื่องก็คงไม่เกิดขึ้นแน่นอน เชื่อว่าพระลูกชายคงคุมอารมณ์ไม่ได้ เนื่องจากอาการจะอ่อนไหว โมโหร้าย และบางครั้งก็จะนิ่งซึม
จากนี้ก็ต้องปล่อยไปตามกฎหมาย ใครทำอะไรก็ได้เช่นนั้น ส่วนตนหลังจากนี้ก็จะเดินทางไป จ.อุดรธานี บ้านเกิด เพื่อจะจัดการเรื่องที่ทางเพื่อเก็บที่ดินส่วนหนึ่งไว้ให้กับลูกชายหลังจากพ้นโทษ เอาไว้ให้ทำกินต่อไป