หญิงคนหนึ่งร้องเรียนมายังเพจโหนกระแสว่า คุณปู่ถูกญาติห่างๆ ออกอุบายขอยืมเงิน อ้างว่าจะนำที่ดินมาค้ำประกัน แต่สุดท้ายก็ไม่นำโฉนดมาให้ตามที่พูด ซ้ำยังไม่ผ่อนจ่ายตามสัญญา
หญิงผู้ร้องเรียน เล่าว่า คุณปู่ อายุ 80 กว่า อยู่บ้านคนเดียวที่ จ.สุรินทร์ เนื่องจากคุณย่าเสียชีวิตไปแล้ว ส่วนตนกับคุณพ่อ ซึ่งเป็นลูกหลานแท้ๆ ต้องทำงานและพักอาศัยอยู่ที่ กทม. เป็นหลัก
เดือน ก.ย. 2566 มี 2 ผัวเมีย ซึ่งเป็นญาติฝั่งคุณย่ามาขอยืมเงินคุณปู่ จำนวน 1 แสนบาท อ้างว่าจะนำโฉนดที่ดินมาค้ำประกัน คุณปู่เห็นว่าเป็นหลานก็ไว้ใจให้ยืม
สองผัวเมียขับรถมารับคุณปู่ไปเบิกเงินสดที่ธนาคาร โดยตอนแรกญาติอีกคนที่อยู่บ้านใกล้กัน ไว้ใจกัน จะไปเป็นเพื่อน แต่เกิดติดธุระกะทันหัน จึงไม่ได้ไปด้วย
หลังจากคุณปู่เบิกเงินให้ไป 1 แสนบาท สองผัวเมียอ้างว่าโฉนดที่ดินอยู่ในรถอีกคัน เดี๋ยวจะนำมาให้ในภายหลัง แต่ผ่านไป 1 เดือน กลับหายเงียบ ไม่นำมาให้ คุณปู่จึงเริ่มเอะใจและยอมบอกเรื่องนี้กับตน
พอตนกับคุณพ่อรู้เรื่องก็ได้ไปปรึกษาทนาย และได้ไปพูดคุยกับพ่อแม่ของคู่กรณี ก่อนจะมีการเซ็นสัญญากู้ยืมเงิน โดยระบุข้อตกลงว่าคู่กรณีจะจ่ายดอกเบี้ยรายเดือน เดือนละ 2,000 บาท (ร้อยละ 2) ส่วนเงินต้นจะใช้เมื่อไหร่อย่างไรนั้นไม่ได้กำหนด เนื่องจากทางพ่อแม่ของคู่กรณีบอกว่าเป็นการคาดคั้นเกินไป
แม้หลังทำสัญญาแล้ว คู่กรณีก็จ่ายไม่ค่อยตรงกำหนด ต้องคอยตามทวง ต่อมาคู่กรณีได้ใช้เงินต้นมา 20,000 บาท จึงจ่ายดอกเบี้ยเดือนละ 1,800 บาท แต่ตอนนี้คู่กรณีค้างชำระหลายเดือนแล้ว ทวงไปก็ไม่ได้
ตอนนี้คุณปู่เครียด โทษตัวเองที่ไว้ใจคนผิด ทำอะไรไม่ได้ปรึกษาลูกหลานแท้ๆ จนทำให้เกิดปัญหา ตนสงสารคุณปู่มากเพราะอายุเยอะแล้ว และเงินก้อนนั้นก็เป็นเงินเก็บของคุณปู่ที่หวังจะไว้ใช้ยามบั้นปลาย กลับมาเจอคนแบบนี้หลอก
ตนอยากให้คู่กรณีคืนเงินคุณปู่ หรือจะผ่อนจ่ายเป็นรายเดือนตามที่ตกลงกันไว้ก็ยังดี ไม่ใช่นิ่งเงียบแบบนี้