ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งโพสต์ในกลุ่ม พวกเราคือผู้บริโภค โดยเล่าว่า ตนเช่าอาคารพาณิชย์เพื่อเปิดกิจการร้านสัก เริ่มสัญญาเช่าในวันที่ 1 เม.ย. ได้กุญแจบ้านมาตั้งแต่ 1 เม.ย. แต่ในช่วง เม.ย. ยังไม่มีการเข้าอยู่ เป็นเพียงการเข้ามารีโนเวตร้าน และมีลูกน้องมานอน ใช้เพียงพัดลม 1 ตัว ไม่มีเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่น และกลางเดือน เม.ย. บิลค่าไฟมายอด 359.38 บาท เจ้าของบ้านก็จ่ายให้ เพราะเป็นค่าไฟของผู้เช่าเดิมในเดือน มี.ค.
หลังจากนั้น ตนเข้าอยู่จริง ติดตั้งเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกชนิด วันที่ 1 พ.ค. พอวันที่ 15 พ.ค. บิลค่าไฟของเดือน เม.ย. มาถึง ปรากฏว่า ค่าไฟ 6,476.31 บาท ตนตกใจมาก ทำไมค่าไฟแพงขนาดนี้ ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้เข้าอยู่ จึงไปแจ้งการไฟฟ้า ขอปรับลดหม้อไฟ จากเดิม 15 แอมป์ 3 เฟส จะขอเปลี่ยนเป็น 15 แอมป์ 1 เฟส โดยมีค่าบริการประมาณ 107 บาท และให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบ พอตรวจก็ไม่มีอะไรผิดปกติ และการยื่นขอเปลี่ยนหม้อ ก็เปลี่ยนไม่ได้ด้วย เพราะต้องวางระบบไฟในบ้านใหม่ สรุป หม้อก็ไม่ได้เปลี่ยน ค่าไฟก็ต้องจ่าย ค่าบริการเปลี่ยนหม้อก็ต้องจ่าย ทั้งๆ ที่ไม่ได้เปลี่ยน
พอบิลค่าไฟเดือน พ.ค. มาถึง ไม่แปลกใจที่ยอดจะเป็น 5,800 บาท เพราะมีแอร์ 2 ตัว ทีวี ตู้เย็น ตู้แช่ ไฟวอร์มรอบร้าน เฉพาะไฟก็ไม่ต่ำกว่า 50 ดวง พัดลม 4 ตัว กระทะไฟฟ้า หม้อหุงข้าว คอมพิวเตอร์ เครื่องปรินท์ และเดือน พ.ค.ร้อนมาก จึงเปิดแอร์ทั้งวันทั้งคืน แต่ที่ตนติดใจมีอยู่ 2 ข้อ คือ 1.ค่าไฟ เม.ย. มันมาจากไหน แพงจากอะไร 2.ค่าบริการเปลี่ยนหม้อ ไม่ได้เปลี่ยน เขาไม่คืนเหรอ เพราะเขามาตรวจแล้วบอกว่าเปลี่ยนไม่ได้ ช่างก็กลับ
ทั้งนี้ เจ้าของโพสต์ เปิดเผยกับทีมโหนกระแสว่า ตอนแรกนึกว่าไฟรั่ว พอมาเช็กก็ปกติ ปั๊มน้ำไม่มี ติดแอร์วันที่ 10 พ.ค. ตู้เย็นเสียบใช้งานวันที่ 20 พ.ค. ส่วนเดือน เม.ย.แค่เช่า เพื่อปรับปรุงภายใน ทาสี ติดวอลเปเปอร์ ติดสติกเกอร์ร้าน ไม่ได้ใช้เครื่องมือช่างใดๆ ใช้แค่สว่านที่ชาร์ตไฟมาจากบ้าน และใช้พัดลม ซึ่งในเดือนนั้นไม่มีคนนอนในร้านด้วย ล่าสุด การไฟฟ้าเข้ามาตรวจสอบแล้ว ไม่พบสิ่งผิดปกติ จึงคาดว่าน่าจะมีคนแอบมาใช้ไฟตอนไม่อยู่ แต่ก้ยังไม่แน่ใจว่าจะเป้นสาเหตุนี้ไหม