หญิง อายุ 66 ปี พร้อมลูกชาย อายุ 22 ปี นักศึกษาคณะวิศวะปี 3 มหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งย่านวิภาวดี นำหลักฐานเอกสารต่างๆ รวมทั้งสมุดบัญชีเข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน สภ.เมืองนนทบุรี หลังถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ใช้มุกเดิมหลอกให้โอนเงิน จำนวน 11,000 บาท โดยอ้างว่ามีการทำธุรกรรมการเงินพัวพันกับแก๊งสีเทา ให้โอนเงินไปให้ตรวจสอบ มิเช่นนั้นจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย ผู้เสียหายรู้สึกกลัวจึงได้ทำตามที่แก๊งมิจฉาชีพบอกและสูญเงินดังกล่าว
ล่าสุด ได้เดินทางเข้าให้ปากคำเพิ่มเติมกับพนักงานสอบสวน สภ.เมืองนนทบุรี ใช้เวลากว่า 30 นาที ก่อนจะออกมาเปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า ตอนนี้ตนตัดสินใจแจ้งเรื่องให้กับทางมหาวิทยาลัยทราบแล้วว่าจะขอดรอปการเรียนเป็นเวลา 2 ปี เนื่องจากสภาพจิตใจย่ำแย่ หลังถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกลวงเอาเงินไป แม้จะไม่มากสำหรับคนอื่น แต่สำหรับตนเองเป็นเงินที่มากเลยทีเดียว คุณพ่อให้เงินตนใช้วันละ 100 บาท ตนสู้อุตส่าห์เก็บหอมรอมริบจนมีเงินจำนวนดังกล่าว แต่สุดท้ายก็ถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกให้โอนเงินไปจนเกลี้ยงบัญชี
ตอนนี้ตนคงไม่มีสมาธิในการเรียนแน่นอน จึงตัดสินใจพักการเรียนไว้ก่อน และอยากจะหางานทำ หากเจ้าของบริษัทห้างร้านแห่งไหนจะเมตตาสงสารตนรับตนเข้าทำงานก็ให้แจ้งผ่านแม่ตนได้เลย โดยระหว่างให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวสังเกตว่าน้องกันมีสีหน้าที่เศร้าสร้อย น้ำเสียงสั่นเครือ ก็พยายามพูดจาปลอบใจ
ด้านผู้เป็นแม่ เผยว่า ตนมีลูกชายเพียงคนเดียว ปัจจุบันตนก็ไม่ได้ทำงานอะไร เพราะอายุมากแล้ว มีเพียงคุณพ่อของน้องที่มีอาชีพขับรถให้กับบริษัทแห่งหนึ่ง แต่ก่อนเราก็ไม่ได้ลำบากอะไรมากมาย แต่ต้องมาประสบปัญหาฐานะไม่ค่อยสู้ดีในระยะหลัง เนื่องจากครอบครัวมีเพียงแค่สามีที่หาเลี้ยง ซึ่งก่อนหน้านี้เองทางตนและสามีได้ไปค้ำประกันให้กับคนรู้จัก ในวงเงิน 700,000 บาท สุดท้ายเขาก็ไม่ยอมใช้หนี้ เราในฐานะผู้ค้ำจึงถูกยื่นฟ้องโนติสและยึดบ้านทาวน์เฮาส์ที่อาศัยกันอยู่ 3 คนไปขายทอดตลาด จนทุกวันนี้ต้องเช่าบ้านเขาอยู่ ทำให้ลำบากมากกว่าแต่ก่อน ส่วนเรื่องที่ลูกชายมาขออนุญาตดรอปการเรียน 2 ปี ตนก็เข้าใจและสงสาร ไม่อยากจะบังคับเขา เพราะเห็นเขาเครียด และคิดมากที่มาเจอเรื่องนี้ ก็ได้แต่พูดปลอบใจและให้กำลังใจเขาตลอด