จากเหตุการณ์ หญิง อายุ 54 ปี แม่บ้านทำความสะอาดของบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ที่รับจ้างทำงานให้กับ รพ.พิมลราช ต.พิมลราช อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี ถูกชาย อายุ 40 ปี พนักงานเวรเปลทำร้ายร่างกายด้วยการผลักจนล้มศีรษะฟาดพื้นอย่างแรง ได้รับบาดเจ็บ โดยทั้งสองฝ่ายมีปากเสียงกันที่หน้าห้องฉุกเฉินของ รพ. หลังเกิดเหตุได้มีการเจรจายินยอมชดใช้ค่าเสียหายเยียวยาเป็นเงินจำนวน 50,000 บาท แต่เมื่อถึงเวลานัดจ่ายเงินงวดแรก พนักงานเวรเปลไม่มีเงินมาจ่ายตามที่ตกลงกันไว้ แม่บ้านจึงนำเรื่องราวดังกล่าวร้องสื่อเพื่อขอความเป็นธรรม
ความคืบหน้าล่าสุด นพ.เอกวุฒิ ตั้งตรงไพโรจน์ ผอ.รพ.พิมลราช เปิดเผยว่า รู้สึกเสียใจมากที่มาเกิดเหตุทะเลาะวิวาทในสถานที่ราชการเช่นนี้ เบื้องต้นได้สั่งลงโทษพนักงานเวรเปลด้วยการตักเตือนเป็นลายลักษณ์อักษรตามระเบียบราชการ พร้อมกับสั่งย้ายให้ไปทำหน้าที่ที่แผนกอื่น ซึ่งเป็นแผนกที่ไม่เกี่ยวข้องกับผู้คน พร้อมกับติดตามดูพฤติกรรม ทาง รพ. ไม่ได้เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
ส่วนอาการของแม่บ้านที่ได้รับบาดเจ็บนั้น หลังเกิดเหตุทาง รพ. ก็ดูแลรักษาอาการเป็นอย่างดี เพราะแม่บ้านรายนี้ก็เป็นคนไข้ของทาง รพ. อยู่ก่อนแล้ว ได้ตรวจดูอาการในเบื้องต้น จากนั้นส่งตัวไปรักษาต่อที่ รพ.บางบัวทอง ก่อนจะถูกส่งตัวกลับมาพักฟื้นที่ รพ.พิมลราช เพื่อดูอาการจนกระทั่งหายดี
หลังเกิดเหตุได้เรียกคู่กรณีทั้งสองฝ่ายมาสอบถามข้อเท็จจริงทันที ซึ่งทางพนักงานเวรเปลชายรายนี้ก็ยอมรับว่า เขาเกิดบันดาลโทสะจากการโต้เถียงกับแม่บ้านจริง สาเหตุมาจากแม่บ้านจะเข้าไปทำความสะอาดในห้องฉุกเฉิน แต่สื่อสารกันไม่เข้าใจ จนกลายเป็นการโต้เถียงกัน ทำให้พนักงานเวรเปลบันดาลโทสะเข้าไปทำร้ายร่างกายด้วยการผลักแม่บ้านจนล้ม
วันที่เรียกทั้งสองฝ่ายมาสอบถาม ทางพนักงานเวรเปลก็ได้ทำการขอโทษแม่บ้านต่อหน้าตนไปแล้ว นอกจากนี้ยังทราบอีกว่าทางพนักงานเวรเปลได้ไปเยี่ยมแม่บ้าน พร้อมกับนำกระเช้าดอกไม้ไปขอโทษที่ รพ. ด้วย ไม่ได้มีพฤติกรรมตามราวีหรือข่มขู่แต่อย่างใด ซึ่งที่ผ่านมาทางพนักงานเวรเปลรายนี้ก็ไม่เคยมีปัญหาทะเลาะกับใครใน รพ. มาก่อน เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นความผิดครั้งแรก ทาง รพ. จึงลงโทษด้วยการตักเตือน และย้ายตำแหน่งงานที่ทำ ไม่ใช่ว่า รพ. ไม่สั่งลงโทษหรือเข้าข้าง
ส่วนเรื่องความคืบหน้าในคดีนั้น ทาง รพ. ได้ให้ความร่วมมือกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นอย่างดี โดยมอบภาพจากกล้องวงจรปิดตอนเกิดเหตุให้กับทางพนักงานสอบสวนไปแล้ว ขั้นตอนที่เหลือจึงเป็นเรื่องของพนักงานสอบสวนกับคู่กรณีทั้งสองฝ่าย เพราะทาง รพ. ได้ดำเนินการตามขั้นตอนของ รพ. ไปแล้ว