จากกรณีมีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งได้โพสต์ภาพและภาพวงจรปิด ตำรวจขับรถเก๋งชนท้ายจักรยานยนต์ ทำให้คุณยายวัย 78 ปีเสียชีวิต โดยมีกล้องวงจรปิดเป็นหลักฐาน พร้อมระบุว่า “ตำรวจขับรถชนคนตาย พอขอให้เป่าแอลกอฮอล์คนขับ เจ้าหน้าที่บอกว่าไม่มีที่เป่า พูดมาได้ยังไง แต่พ่อขอให้หมอตรวจเลือดไปแล้ว ช่วงชุลมุนตำรวจเข้าไปเต็มโรงพยาบาล ผลจะเป็นยังไง ต้องมาดูอีกที โพสต์นี้ไม่ได้กล่าวหาใคร แค่ต้องการความจริงและขอความเป็นธรรม คดีนี้กลัวจะไม่ได้รับความเป็นธรรม เพราะคู่กรณีเป็นตำรวจ ฝากทุกคนช่วยแชร์หน่อยนะคะ ครอบครัวเราต้องไม่สูญเสียฟรีแน่นอน” เหตุเกิดเวลา 20.30 น. วันที่ 11 เม.ย.68
ต่อมา ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปที่เกิดเหตุ ถนนหลวง 2315 หนองวัวซอ -ดงหมากไฟ บริเวณหน้าวัดขันธปราณี บ้านคำหมากคูณ หมู่ที่ 4 ต.หนองอ้อ อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี ซึ่งเป็นถนน 2 เลน มีการขยายไหล่ทาง พบร่องรอยการเฉี่ยวชน เศษชิ้นส่วนอะไหล่รถตกเกลื่อน มีรอยคราบเลือด และคราบน้ำมันเครื่องเปื้อนถนน
โดยชาย อายุ 59 ปี ลูกชายของผู้เสียชีวิตชี้จุดเกิดเหตุ พร้อมเล่าว่า เมื่อเวลา 20.30 น. วันที่ 11 เม.ย. ขณะที่แม่ขี่รถ จยย.กลับมาจากไปหาหลานมุ่งหน้ากลับบ้าน ขณะจอดรถอยู่กลางถนน เตรียมเลี้ยวขวาเข้าซอยบ้าน ต่อมามีตำรวจนายหนึ่ง ยศ ร.ต.ท. สังกัดโรงพักแห่งหนึ่ง ใน จ.อุดรธานี ขับรถเก๋งสีขาวมาจากโรงพักด้วยความเร็วสูง และชนท้ายรถ จยย.เต็มแรง จนแม่ตนกระเด็นตกรถ มีบาดแผลที่ศีรษะ ได้รับบาดเจ็บสาหัส รถ จยย.กระเด็นห่างจากแม่ไป 10 เมตร นอกจากนี้ รถเก๋งยังพุ่งไปชนรถฟอร์จูนเนอร์ที่ขับสวนทางมา ทำให้ได้รับความเสียหาย โดยตำรวจนายนั้นได้รับบาดเจ็บที่หน้าอก นำส่งโรงพยาบาล ส่วนแม่ตนเสียชีวิตในเวลาต่อมา
หลังเกิดเหตุประมาณ 10 นาที ญาติโทรศัพท์บอกตน ก็รีบออกมาที่เกิดเหตุทันที ตำรวจคู่กรณีไม่พูดอะไร คาดว่าจะยังงง ไม่รู้ว่าเมาหรือไม่ ลักษณะการขับรถเร็วปกติไม่มีร่องรอยเบรก ส่วนร้อยเวรไม่ได้เป่าแอลกอฮอล์ แต่เจาะเลือดไปตรวจหาปริมาณแอลกอฮอล์ทั้ง 3 คน หากได้รับความยุติธรรมก็จะดี กังวลว่าจะไม่ได้รับความยุติธรรม ซึ่งทางลูกสาวของตำรวจนายนั้นได้นำเงินมามอบให้จัดงานศพ 20,000 บาท เพราะตำรวจบาดเจ็บซี่โครงหัก นอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล หากหมอให้ออกจากโรงพยาบาล ก็จะมาร่วมพิธีฌาปนกิจ และขอขมาผู้เสียชีวิต
ด้าน หญิง อายุ 31 ปี ผู้โพสต์คลิปและเป็นหลานสาวของผู้เสียชีวิต กล่าวว่า คืนวันที่ 11 เม.ย. ย่าขี่รถ จยย.ไปหาหลานชายที่เดินทางกลับมาจากไต้หวัน เสร็จแล้วย่าก็ขี่รถ จยย.กลับบ้าน มาถึงที่เกิดเหตุ ซึ่งเป็นปากซอยเข้าบ้าน ย่าจอดรถที่เส้นจราจรสีเหลือง เตรียมเลี้ยวขวาเข้าซอยกลับบ้าน ก่อนจะมีตำรวจขับรถเก๋งมาเร็วมากชนท้ายรถย่า จนย่ากระเด็นตกรถมีบาดแผลบริเวณศีรษะ ส่วนรถ จยย.กระเด็นห่างจากตัวย่าไปประมาณ 10 เมตร ท้ายรถยุบเข้าไปครึ่งคัน พ่อตนไปที่เกิดเหตุทันที ตำรวจที่ขับรถชนย่าไม่พูดอะไร พ่อขอให้ตำรวจเป่าแอลกอฮอล์ แต่ตำรวจบอกว่าไม่มีเครื่องเป่า จึงให้เจาะเลือดไปตรวจหาแอลกอฮอล์ทั้ง 3 คน ทั้งตำรวจ ย่า และเจ้าของรถฟอร์จูนเนอร์
หลานสาวของผู้เสียชีวิต ยังกล่าวอีกว่า “เราเป็นคนบ้านนอก ส่วนคู่กรณีเป็นตำรวจ กลัวว่าสำนวนคดี กลัวว่ารูปคดี จะทำให้เราเสียเปรียบ เกรงว่าจะเป็นประมาทร่วม ทำให้เราเสียสิทธิ์ไม่ได้รับการเยียวยา ก็อยากได้รับความเป็นธรรม ที่กังวลเพราะร้อยเวรแจ้งว่า ไม่ได้เอาเครื่องเป่าแอลกอฮอล์มาด้วย คู่กรณีเจ็บหน้าอกเป่าไม่ได้ กระทั่งพ่อไปเฝ้าที่โรงพยาบาล เพื่อให้ทำการเจาะเลือดตำรวจนายนั้นไปตรวจหาแอลกอฮอล์ต่อหน้า”
หลานสาวของผู้เสียชีวิต กล่าวต่อว่า ย่าเป็นคนสุขภาพแข็งแรงและขยัน แม้จะอายุมากก็ไม่อยู่นิ่ง ชอบขี่รถไปกับหลาน ซึ่งพิการสมอง ไปเอามะพร้าวมาขาย วันเกิดเหตุขี่รถไปเก็บดอกมะลิมาขาย ส่วนลางสังหรณ์เมื่อ 2 วันก่อน ย่าขี่รถมาตามหาพ่อ ซึ่งเป็นลูกชายคนโตที่บ้าน 2 ครั้ง แต่ไม่พบ เพราะพ่อออกไปหาเสียงเลือกตั้ง ย่าบ่นว่าอากาศร้อนและเหนื่อย ตนจึงได้เอาน้ำหวานให้ย่ากิน ซึ่งสังเกตเห็นว่าย่ามีใบหน้าหมองคล้ำ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไร รู้สึกเสียใจมาก ไม่คิดว่าวันสงกรานต์ที่เป็นวันรวมญาติ จะมารดน้ำดำหัวญาติผู้ใหญ่ขอพร แต่กลายเป็นงานศพของย่าแทน
ส่วนที่วัดขันธปราณี ญาตินำศพผู้เสียชีวิตมาทำพิธีสวดอภิธรรม มีญาติพี่น้องชาวบ้านที่ทราบข่าวมาช่วยงาน บรรยากาศเป็นไปด้วยความเศร้าโศก ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจสังกัดโรงพักเดียวกับนายตำรวจที่ขับรถชนผู้เสียชีวิตได้นำพวงหรีด มามอบให้เจ้าภาพ เพื่อแสดงความเสียใจ
ขณะที่ ผู้กำกับการต้นสังกัดของนายตำรวจดังกล่าว เปิดเผยว่า หลังเกิดเหตุก็ได้ไปโรงพยาบาล และรับปากกับญาติผู้เสียชีวิตว่าจะให้ความยุติธรรมทั้งสองฝ่าย โดยสั่งการให้พนักงานสอบสวนเจ้าของคดีเจาะเลือดตำรวจ ผู้เสียชีวิต และผู้ขับรถฟอร์จูนเนอร์ ไปตรวจหาปริมาณแอลกอฮอล์ ซึ่งส่งเลือดไปตรวจที่ สสจ.อุดรธานี ต้องรอผลการตรวจเลือด จะออกวันไหนยังไม่ทราบ เมื่อผลตรวจเลือดออกมาแล้ว ก็ให้ดำเนินการตามข้อเท็จจริงและยุติธรรมที่สุด
ที่มา : ข่าวสด