โหนกระแสวันนี้ พาไปเจาะลึกเรื่องราวสุดซึ้ง กับเทปพิเศษว่าด้วยการโคลนนิงสุนัข คืนชีพ "เจ้าพะแพง" สุนัขสุดรัก กลับสู่อ้อมอกเจ้าของอีกครั้ง ด้วยความหวัง ความรัก และเทคโนโลยีล้ำยุค
ในรายการโหนกระแสวันนี้ "คุณไก่" หรือ นางสาวกัญจน์รัตน์ นักธุรกิจสาววัย 50 ปี จากอำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี ได้มานั่งพูดคุยเปิดใจกลางรายการ หลังกลายเป็นที่ฮือฮาว่าเธอทุ่มเงินกว่า 6 ล้านบาท เพื่อโคลนนิง "เจ้าพะแพง" สุนัขสายพันธุ์เฟรนช์บูลด็อกที่เธอรักเสมือนลูกสาว ให้กลับมาอยู่เคียงข้างอีกครั้ง โดยลูกสุนัขโคลนนิงที่มีชื่อเดียวกันว่า "พะแพง" ตอนนี้มีอายุ 5 เดือน มีสุขภาพแข็งแรง ร่าเริง และขี้เล่น ซึ่งคุณไก่บอกว่า เจ้าพะแพงตัวนี้คือผลลัพธ์ของการโคลนนิงที่สำเร็จ และถือเป็นสุนัขโคลนนิงผ่านการตัดต่อพันธุกรรมตัวแรกของประเทศไทย
คุณไก่เล่าในรายการว่า สุนัขตัวต้นแบบคือพะแพงที่เสียชีวิตจากโรคคุชชิ่ง ซึ่งเป็นความผิดปกติของระบบต่อมไร้ท่อในสุนัข เธอรู้สึกเหมือนสูญเสียสมาชิกในครอบครัว จึงติดต่อไปยัง น.สพ.ศุภเสกข์ ศรจิตติ ผู้เชี่ยวชาญด้านสเต็มเซลล์และการโคลนนิง เพื่อขอให้ช่วยนำเจ้าพะแพงกลับมาอีกครั้งในร่างใหม่
ก่อนดำเนินการโคลนนิง คุณหมอได้สอบถามคุณไก่ใน 2 ประเด็นสำคัญ คือ หากเธอเสียชีวิตในอนาคต จะมีใครดูแลเจ้าพะแพงต่อหรือไม่ และเธอจะรับมือกับคำวิพากษ์วิจารณ์จากสังคมได้หรือเปล่า ซึ่งคุณไก่ตอบอย่างมั่นใจว่าได้จัดทำพินัยกรรมมอบหมายให้ผู้ดูแลทั้งพะแพงและสุนัขอีก 16 ตัวไว้แล้ว ส่วนเสียงวิจารณ์ เธอยอมรับและเข้าใจ พร้อมบอกว่า สิ่งที่เธอทำไม่ใช่เพราะร่ำรวย แต่เพราะพะแพงเคยเป็นกำลังใจสำคัญในวันที่ชีวิตลำบาก การโคลนนิงครั้งนี้จึงเป็นสิ่งที่เงินไม่สามารถชดเชยได้ด้วยการซื้อสุนัขใหม่
กระบวนการโคลนนิงเริ่มจากการเก็บเซลล์หลังใบหูของพะแพง ส่งไปยังดูไบ ให้ทีมของ ศ.ดร.ฮวาง วู ซุก แพทย์ชาวเกาหลีใต้ ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านโคลนนิงดำเนินการ โดยต้องผ่านกระบวนการตัดต่อพันธุกรรมอย่างซับซ้อน ใช้เวลานานกว่า 1 ปี และสำเร็จในครั้งที่ 5 จากความพยายามทั้งหมด ซึ่งคุณไก่เปิดเผยว่า ค่าใช้จ่ายทั้งหมดอยู่ราว 6 ล้านบาท โดยเฉพาะค่าตัดต่อพันธุกรรมที่มีมูลค่าสูงถึง 20 ล้านบาท แต่ได้รับการยกเว้นด้วยความเมตตาจากทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
เมื่อพะแพงตัวใหม่อายุได้ 4 เดือน คุณไก่ได้เจอหน้ากันเป็นครั้งแรก และบอกว่า เจ้าพะแพงจ้องตาเธออยู่นานราว 1 นาที ก่อนจะมีปฏิกิริยาตอบสนองราวกับจำกันได้ พร้อมแสดงพฤติกรรมที่เหมือนกับตัวเดิม เธอถึงกับกลั้นน้ำตาไม่อยู่
"มีหลายคนบอกว่าที่ทำแบบนี้ฝืนธรรมชาติ ซึ่งตนเข้าใจและเคารพความเห็นต่าง แต่อยากให้มองอีกมุมว่านี่คือความก้าวหน้าของวิทยาศาสตร์ และเป็นหนทางที่ความรักสามารถย้อนคืนกลับมาได้ โดยไม่เบียดเบียนใคร"
ด้าน น.สพ.ศุภเสกข์ ศรจิตติ หรือ "หมอทู" ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสัตว์คริสตัลเพ็ท และเป็นสัตวแพทย์รายแรกของไทยที่สามารถโคลนนิงสุนัขได้สำเร็จ โดยหมอทูเปิดเผยว่า “พะแพง” เป็นสุนัขตัวแรกของประเทศไทยที่ผ่านการ ตัดต่อพันธุกรรม ซึ่งต่างจากการโคลนนิงในช่วง 6-7 ปีที่ผ่านมา ที่ไม่มีการตัดต่อยีนส์เลย
ที่ผ่านมา การโคลนนิงสุนัขจะใช้วิธีตัดชิ้นส่วนผิวหนัง เช่นใบหู จากสุนัขที่ตายไม่เกิน 5 วัน นำไปแช่แข็งในอุณหภูมิติดลบกว่า 160 องศาเซลเซียส แล้วใช้แม่สุนัขอุ้มบุญเป็นตัวตั้งครรภ์ แต่ในกรณีของพะแพง ต้องทำการโคลนนิงถึง 7 ครั้ง โดยลูกหมาตัวก่อนหน้านี้เสียชีวิตทั้งหมด จนกระทั่งสำเร็จในครั้งที่ 8 จึงได้พะแพงตัวปัจจุบันขึ้นมา
หมอทูอธิบายเพิ่มเติมว่า พฤติกรรมของสุนัขที่ผ่านการโคลนนิงมีความเหมือนเดิมแทบทุกประการ เจ้าของเดิมหลายรายเคยเล่าให้ฟังว่า สุนัขสามารถจดจำคนที่เคยไม่ชอบได้แม้เกิดใหม่ และยังคงนิสัยเดิมไว้ครบถ้วน ซึ่งก็รวมถึงพะแพงเช่นกัน เมื่อกลับมาจากต่างประเทศ ก็เดินไปกินน้ำที่เดิม ไม่เข้าห้องที่ไม่เคยชอบ ไม่มีความตื่นกลัวหรือแปลกแยกใด ๆ เลย
โดยทั่วไป ราคาการโคลนนิงอยู่ที่ราว 1 แสนดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 3.5 ล้านบาท) หากไม่มีการตัดต่อยีนส์ แต่ในกรณีของพะแพงมีความซับซ้อนสูง ทำซ้ำหลายครั้ง จึงต้องรวมค่าตัดต่อพันธุกรรมด้วย และแม้ว่าในประเทศจีนจะมีราคาต่ำกว่าราว 50,000 ดอลลาร์ แต่หมอทูยืนยันว่า คุณภาพของกระบวนการจากทีมวิจัยที่ร่วมมือกับ ดร.ฮวาง ในระดับสากลนั้นแตกต่างกัน
หมอทูยังเล่าว่า ปัจจุบันเขาร่วมงานกับทีมโคลนนิงที่ย้ายไปตั้งฐานที่ UAE (สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์) และในแต่ละปี จะมีผู้ติดต่อขอโคลนนิงประมาณ 3-4 ราย ความต้องการยังคงเท่าเดิม แม้ค่าใช้จ่ายจะสูง เพราะเป็นทางเลือกของผู้ที่มีกำลังทรัพย์และมีความผูกพันกับสัตว์เลี้ยงจริง ๆ
สำหรับมุมมองของหมอทูต่อเทคโนโลยีโคลนนิง โดยมองว่า การโคลนนิงไม่ใช่แค่เรื่องของความสุข แต่เป็นทางผ่านของการพัฒนาเทคโนโลยีการตัดต่อพันธุกรรม ที่อาจนำไปประยุกต์กับสัตว์ชนิดอื่นในอนาคต