เมื่อช่วง 12.00 น.ที่ผ่านมา ’ทนายเจมส์ นิติธร แก้วโต’ พาครอบครัวของ ‘สไปรท์’ แร็ปเปอร์ยอดกตัญญูชื่อดังเดินทางออกจากศาลจังหวัดฉะเชิงเทรา หลังก่อนหน้านี้โดนต้นสังกัดเก่าฟ้องเรียกค่าเสียหาย 14 ล้านบาท จากยอดวิวกว่า 420,000,000 วิว จนติดอันดับ 89 ในชาร์ต Billboard Global ส่วนตัวน้องสไปรท์ไม่ได้เดินทางมาด้วย เพราะไปทัวร์คอนเสิรต์กับต้นสังกัดใหม่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นเวลา 14 วัน
ทนายเจมส์ เปิดเผยว่า วันนี้เดินทางมาจากกรณีที่ต้นสังกัดเก่าอ้างว่าน้องสไปรท์ทำผิดสัญญา จากกรณีไปร้องเพลง โชว์ผลงานเพลงตามสถานที่ต่างๆ โดยไม่ได้ขออนุญาตค่ายเก่า แต่จากการสืบทราบในส่วนตัว ทราบว่ามีการบอกเลิกสัญญากันแล้วทางเฟซบุ๊ก ซึ่งทั้ง 2 ฝ่ายต่างยกเลิกสัญญากันแล้ว แต่ตนไม่แน่ใจว่าทำไมถึงกลับมาฟ้องกันอีก
วันนี้ที่เดินทางมาศาลจังหวัดฉะเชิงเทรา มี 2 อย่าง อย่างแรกคือการไกล่เกลี่ยกัน อย่างที่ 2 คือการนัดชี้ 2 สถาน โดยอย่างแรกหลังจากมีการพูดคุยกัน ฝั่งต้นสังกัดเก่าเรียก 14 ล้านบาท ได้พยายามอธิบายเหตุผลของเขาที่เรียกเงินจำนวนนี้ ซึ่งก็เข้าใจได้ แต่เหตุผลของฝ่ายเราคือ เงินรายได้ทั้งหมดที่น้องได้มาผ่านช่อง ไม่ได้ผ่านตัวน้อง ถ้าอยากฟ้องร้องต้องฟ้องเจ้าของช่อง ถ้าอยากฟ้องน้องต้องฟ้องในกรณีที่น้องมีรายได้ผ่านมาจากช่อง ในกรณีที่มีสัญญาผูกมัดกันอยู่ จะกี่เปอร์เซ็นต์ก็ว่ากันไปตามสัญญา
พอคุยกันได้สักระยะ จาก 14 ล้าน ต้นสังกัดเก่ายอมลดให้ 50 เปอร์เซ็นต์ คือ 7 ล้าน ซึ่งตนได้ปรึกษาพ่อและแม่ของน้องแล้ว ก็ยังรู้สึกว่าไม่เป็นธรรม เพราะในวันที่พ่อแม่ผลักดันน้องจนมีชื่อเสียงโด่งดัง ไม่เคยมีใครเข้ามาช่วยเหลือ แต่อย่างน้อยน้องและพ่อแม่ยังสำนึกในบุญคุณที่หยิบยื่นโอกาสในครั้งแรกให้ แต่จำนวนเงินอาจจะไม่ได้เยอะขนาดนี้ ซึ่งหลังจากไกล่เกลี่ยไม่สำเร็จ จึงเป็นการชี้ 2 สถาน โจทย์ฟ้องว่าอย่างไร จำเลยฟ้องว่าอย่างไร ศาลก็จะกำหนดเป็นข้อพิพาท ซึ่งเรื่องดังกล่าวมีเพียงแค่ประเด็นเดียว จึงไม่สลับซับซ้อน ศาลจึงสั่งให้สืบพยาน 2 นัด เข้าสู่ขั้นตอนกระบวนการของศาลต่อไป
ทางโจทก์สืบ 5 ปาก ฝั่งตนเองสืบ 4 ปาก ตนมองเรื่องการยกเลิกสัญญาว่า จู่ๆ จะบอกเลิกสัญญาชาวบ้านเลยไม่ได้ เพราะมีการเซ็นกัน 2 ฝั่ง ถ้าไม่มีเหตุบอกเลิกสัญญา แต่อีกกรณีคือการบอกเลิกสัญญากันด้วยลายลักษณ์อักษร และอีกกรณีคือการบอกเลิกสัญญากันโดยปริยาย อันนี้ไม่จำเป็นต้องมีลายลักษณ์อักษร แต่พฤติการณ์ที่ทั้ง 2 ฝั่งแสดงออกต่อกัน ตีความได้หรือไม่ว่า มีการบอกเลิกสัญญากัน ถ้าตีความได้ก็ไม่จำเป็นต้องมีลายลักษณ์อักษร
พ่อของน้องสไปรท์ เปิดเผยว่า ตนมองว่าไม่เป็นธรรม ถึงแม้จะลดลงมาเหลือ 7 ล้านบาท จริงๆ แล้วรายได้ของน้องที่ได้มาทั้งหมดไม่ได้เข้ากระเป๋าน้องหรือพ่อแม่เลย แต่เข้าที่ช่องหรือต้นสังกัดใหม่ที่น้องไปประกวด น้องได้แค่ค่าน้ำมันที่น้องไปเข้าประกวดแค่นั้นเอง
ที่ผ่านมาน้องผลักดันตัวเองมาโดยตลอด 100% ไม่เคยมีใครมาช่วยเหลือ ซึ่งเรื่องต้นสังกัดเก่าเป็นนิติบุคคลที่ฟ้องน้องนั้น เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2561 หลังน้องได้ไปออกรายการหนึ่ง และร้องเพลง กะเลิฟคือเก่า จนเริ่มมีชื่อเสียง มียอดคนดูเพลงนี้ประมาณ 60 ล้านวิว ต้นสังกัดเก่าของน้องที่อยู่ จ.นครสวรรค์ ได้ติดต่อมาทางเฟซบุ๊กของน้อง แจ้งความประสงค์ตอนแรกคือ อยากให้น้องไปร้องเพลงกับหลานของเขา โดยจะให้เงิน 5,000 บาท ซึ่งตนมองว่ามากไป จึงรับไว้แค่ 3,000 บาท ก่อนจะนัดอัดเสียงที่ห้องอัดแถวดอนเมือง กทม.
จากนั้นไม่นานก็นัดพูดคุยและเซ็นสัญญากันที่ จ.สระแก้ว ระยะเวลา 6 ปี และตนก็เริ่มพาน้องออกงานตามที่ต้นสังกัดแจ้งมา โดยแต่ละงานได้เพียงแค่ค่าน้ำมันรถ 1,000-2,000 บาท มาโดยตลอด แม้จะเดินทางไปจังหวัดไหนก็ตาม
กระทั่งกลางปี 62 น้องสไปรท์จะเปิดภาคเรียนและต้องเรียนหนังสือ ประกอบกับปัญหาเรื่องเงินของครอบครัวที่ไม่ได้มีอะไรมากมาย คงจะดันลูกต่อไปไม่ไหว เพราะครอบครัวต้องแบกรับภาระค่าเดินทาง ค่ากิน ค่าโรงแรมเองทั้งหมด มีรายรับแค่ค่าน้ำมันรถที่ต้นสังกัดเก่าให้เพียง 1,000-2,000 บาทเท่านั้น ตนเหลือแหวนทองวงสุดท้าย จึงคุยกับลูกและครอบครัวว่าเราคงต้องหยุด จึงติดต่อไปเพื่อขอยกเลิกสัญญา แต่ทางต้นสังกัดเก่าบ่ายเบี่ยงมาโดยตลอด อ้างว่าอยู่ต่างประเทศหรือติดงาน ยังไม่สะดวกในการมาเซ็นยกเลิกสัญญาให้น้อง ตนจึงพิมพ์เป็นลายลักษณ์อักษรเอาไว้ในข้อความเฟซบุ๊ก เพื่อแสดงเจตนารมณ์เดิม
"ตอนนั้นที่บ้านยังลำบาก น้ำท่วมบ้าน สถานการณ์โควิด ก็ไม่เคยได้รับการติดต่อจากต้นสังกัดเดิมว่าจะมาให้การช่วยเหลือย่างไร จนน้องได้มีโอกาสกลับมาทำเพลงใหม่ด้วยผลงานเพลง ‘ทน’ มียอดวิวสูงถึง 420,000,000 วิว ติดอันดับ 89 ในชาร์ต Billboard Global ทำให้มีชื่อเสียง ตนก็ไม่เข้าใจว่าต้นสังกัดเก่าต้องการฟ้องร้องน้องเพื่ออะไร และเหตุผลอะไร"
ที่มา : ข่าวสด